เทคนิคการแต่งตัว เพิ่มสไตล์ ด้วยวิธี Layer เสื้อผ้า
เคยสังเกตไหมว่าทำไมบางคนถึงแต่งตัวดูมีอะไรตลอดเวลา ทั้งๆ ที่อาจจะใส่เสื้อผ้าธรรมดาทั่วไปเหมือนกับเราๆ นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจ วิธี Layer Clothes หรือการใส่เสื้อผ้าซ้อนทับแมทช์ชิ่งกันนั่นเอง โดยการเลเยอร์ไม่ใช่แค่เรื่องของการเพิ่มความอบอุ่นในสภาพอากาศหนาวๆ นะ แต่มันคือเทคนิคสุดยอดที่จะช่วยให้คุณ สร้างมิติให้กับลุค เพิ่มความน่าสนใจ ซึ่งหลายคนอาจขมวดคิ้วนิดหน่อยว่ามันเข้ากับประเทศไทยที่สุดแสนจะร้อนไหม ก็ขอตอบเลยว่า อยากดูดีก็อาจต้องอดทนนะ
เทคนิคการแต่งตัว ด้วย Layer Clothes
การเลเยอร์เสื้อผ้าไม่ใช่แค่การหยิบอะไรมาใส่ทับๆ กันนะ แต่มันมีกฎและทริคที่ต้องทำความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสี เนื้อผ้า สัดส่วน หรือแม้แต่การสร้างสมดุลให้กับลุค ซึ่งถ้าทำได้ถูกวิธี คุณก็จะดูเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่น แต่ถ้าทำพลาด ก็อาจจะดูรุ่มร่าม ตัวใหญ่ หรือดูงงๆ แปลกๆ ดังนั้นเราจึงจะมาสอนวิธีที่ถูกต้องกันในบทความนี้ แต่ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนเกี่ยวกับเรื่องการจัดเลเยอร์เสื้อผ้ากัน
เทคนิคนี้จะช่วยสร้างมิติให้กับเรา เสื้อผ้าแต่ละเลเยอร์จะสร้างเงาและเส้นสายที่แตกต่างกัน ทำให้ลุคของคุณดูมีมิติ ไม่แบนราบ และน่าสนใจมากขึ้น เหมือนกับการสร้างภาพ 3 มิติให้กับการแต่งตัว เพิ่มความซับซ้อนและลูกเล่น การเลเยอร์ทำให้คุณสามารถผสมผสานสีสัน เนื้อผ้า และดีไซน์ที่หลากหลายเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ทำให้ลุคดูไม่น่าเบื่อและมีลูกเล่น
ช่วยปรับเปลี่ยนลุคได้ง่ายตามสถานการณ์ บอกเลยว่าการทำเลเยอร์นั้นจะทำให้คุณสามารถถอดหรือใส่เสื้อผ้าแต่ละชิ้นเพื่อปรับเปลี่ยนลุคให้เข้ากับอุณหภูมิหรือโอกาสได้อย่างรวดเร็ว เช่น ถอดแจ็คเก็ตออกเมื่อเข้าไปในห้องแอร์ หรือสวมทับเมื่อต้องออกไปเจออากาศเย็น อีกทั้งยังช่วยพรางจุดด้อยของรูปร่าง และเน้นจุดเด่นที่คุณต้องการโชว์ได้อย่างชาญฉลาด เช่น การใช้เสื้อคลุมตัวยาวช่วยพรางช่วงสะโพก และทำให้เสื้อผ้าธรรมดาดูแพงขึ้น เปลี่ยนให้เสื้อยืดสีพื้นธรรมดาๆ ดูดีขึ้นได้ เพราะเมื่อถูกเลเยอร์ด้วยเสื้อเชิ้ตดีๆ หรือเบลเซอร์เนี้ยบๆ จะช่วยยกระดับลุคให้ดูมีราคาและมีสไตล์มากขึ้นทันที
กฎ 3 ข้อในการทำเลเยอร์เสื้อผ้า
ก่อนจะลงมือเลเยอร์ ควรทำความเข้าใจหลักการพื้นฐาน 3 ข้อนี้ให้ดี เพราะมันจะช่วยให้คุณแต่งตัวแบบเลเยอร์ได้อย่างถูกต้องและดูดีแน่นอน
เรื่องสัดส่วนและโครงสร้าง
การเลเยอร์ที่ดีต้องคำนึงถึงสัดส่วนของร่างกายและโครงสร้างของเสื้อผ้าแต่ละชิ้น โดยเริ่มจากบางไปหนา เลเยอร์แรก ควรเป็นเสื้อผ้าที่บางเบาที่สุดและแนบไปกับตัว เช่น เสื้อยืดคอกลม เสื้อกล้าม หรือเสื้อแขนยาวแนบเนื้อ จากนั้นค่อยๆ เพิ่มเลเยอร์ที่หนาขึ้นเรื่อยๆ เช่น เสื้อเชิ้ต เสื้อสเวตเตอร์บางๆ และปิดท้ายด้วยเลเยอร์นอกสุด ที่เป็นเสื้อคลุมตัวนอก เช่น แจ็คเก็ต หรือโค้ท
สามารถลองเล่นกับความยาวของเสื้อผ้าแต่ละเลเยอร์ได้ เพื่อสร้างมิติและความน่าสนใจ เช่น เสื้อตัวในที่สั้นกว่าเสื้อคลุมตัวนอกเล็กน้อย หรือเสื้อคลุมตัวนอกที่ยาวกว่าเสื้อตัวในอย่างชัดเจน จะช่วยสร้างเส้นสายที่ไม่ซ้ำซ้อนและดูมีสไตล์ แต่ต้องระวังให้ดี เพราะการเลเยอร์หลายชั้นเกินไป หรือเลือกเสื้อผ้าที่หลวมโคร่งทุกชิ้น จะทำให้คุณดูตัวใหญ่ขึ้นกว่าความเป็นจริง และดูไม่เป็นระเบียบ สิ่งที่หลายคนไม่ค่อยรู้คือ การเลือกเสื้อผ้าที่มี โครงสร้าง ที่ชัดเจน อย่างเสื้อเบลเซอร์ หรือแจ็คเก็ตที่มีทรง จะช่วยให้ลุคโดยรวมดูเนี้ยบและไม่รุ่มร่าม
การผสมผสานเนื้อผ้า
การเล่นกับเนื้อผ้าที่แตกต่างกันคืออีกหนึ่งเคล็ดลับที่จะทำให้การเลเยอร์ของคุณดูมีมิติและน่าสนใจ อย่างการสร้าง Contrast ที่เป็นการจับคู่เนื้อผ้าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพื่อสร้างความรู้สึกที่น่าสนใจ เช่น การจับคู่ระหว่างผ้านุ่มลื่นกับผ้าหยาบ เช่น เสื้อเชิ้ตผ้าซาติน เนื้อลื่น มาคลุมด้วยแจ็คเก็ตยีนส์ ที่เป็นเนื้อหยาบ หรือจะเป็นผ้าโปร่งกับผ้าทึบ เช่น เสื้อลูกไม้ ที่เป็นผ้าโปร่ง ทับด้วยคาร์ดิแกนไหมพรม ที่เป็นผ้าทึบ และผ้าเงากับผ้าด้าน เช่น เสื้อเบลาส์ผ้าไหม เนื้อผ้าเงา คลุมด้วยเบลเซอร์ผ้าขนสัตว์ ที่เป็นเนื้อผ้าด้าน
บอกเลยว่าการผสมผสานเนื้อผ้าไม่ได้ทำให้ลุคของคุณดูแปลกแยกอะไรเลย แต่มันจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจทางสายตาหรือการดึงดูดทางสายตาเพิ่มขึ้น ทำให้ลุคของคุณดูมีรายละเอียดและดูซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับลุคให้ดูแพงและมีรสนิยม
การจับคู่สี
สีคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้การเลเยอร์ของคุณดูเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หรือสร้างความโดดเด่น โดยมันก็มีการแบ่งที่หลากหลาย ดังนี้
: โทนสีเดียวกัน (Monochromatic) เลือกสีในโทนเดียวกัน แต่มีความเข้มอ่อนที่แตกต่างกัน เช่น เสื้อยืดสีขาว เสื้อเชิ้ตสีขาวนวล และแจ็คเก็ตสีขาวอมเทา ลุคนี้จะดูเรียบหรู คลีน และมีสไตล์แบบมินิมอล
: สีที่กลมกลืน (Analogous Colors) เลือกสีที่อยู่ใกล้กันบนวงล้อสี เช่น สีฟ้า สีเขียว และสีน้ำเงินอมเขียว การจับคู่สีแบบนี้จะให้ลุคที่ดูละมุน กลมกลืน และสบายตา
: สีตัดกัน (Contrasting Colors) สำหรับคนที่ชอบความโดดเด่น ลองเลือกสีที่อยู่ตรงข้ามกันบนวงล้อสี เช่น สีน้ำเงินกับสีส้ม หรือสีม่วงกับสีเหลือง แต่ควรใช้สีตัดกันแค่ 1-2 จุด เพื่อไม่ให้ดูฉูดฉาดเกินไป
หรือใครจะชอบแนวเน้นสีกลางๆ ก็ได้เหมือนกัน เพราะการมี “สีกลาง” อย่างพวกสีขาว ดำ เทา เบจ กรมท่า ที่ถือว่าเป็นพื้นฐานในการเลเยอร์ จะช่วยให้คุณสามารถหยิบสีสันสดใสอื่นๆ มาใส่เป็นลูกเล่นได้ง่ายขึ้นโดยไม่ดูเยอะเกินไป ลองใช้สีกลางเป็นเสื้อชั้นแรกหรือชั้นสุดท้ายอย่างเสื้อคลุมดูได้
เทคนิคการแต่งตัว อย่างการเลเยอร์เสื้อผ้าคือสิ่งที่ทำให้เราแต่งตัวสนุกขึ้น ซึ่งมันต้อง “ลอง” และมีความความกล้าที่จะลองผิดลองถูกอยู่ตลอด แต่เมื่อคุณเข้าใจหลักการแล้ว คุณจะพบว่ามันสามารถช่วยเปลี่ยนลุคธรรมดาๆ ให้กลายเป็นลุคที่ดูมีมิติ มีสไตล์ และดูแพงขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง แนะนำให้ทุกคนลองแต่งตัว เปลี่ยนสไตล์ไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาสิ่งที่เหมาะกับเรามากที่สุดนะ