เสื้อมีกลิ่นอับ วิธีแก้ง่ายๆ พร้อมกับสาเหตุว่ามันเกิดจากอะไร
หลายๆ คนน่าจะเคยประสบพบเจอที่เสื้อยืดที่ซักแล้วซักอีก แต่ก็ยังมีกลิ่นอับติดอยู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือบางทีใส่แค่แป๊บเดียวเหงื่อยังไม่ออกเลย แต่ทำไมมันดันมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ถึงโชยมาซะอย่างนั้น ปัญหากลิ่นอับในเสื้อยืดนี่แหละคือสิ่งที่หลายคนไม่อยากจะพบเจอเลย เพราะมันไม่ได้แค่ทำให้เราเสียความมั่นใจ แต่ยังทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเอามากๆ อีกด้วย ซึ่งความจริงที่คนไม่ค่อยรู้คือ กลิ่นอับพวกนี้ไม่ได้เกิดจากเหงื่อโดยตรงอย่างเดียว แต่มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่านั้นเยอะ มาตามหาปัญหาและสาเหตุการเกิดกลิ่นกันเถอะ
ต้นตอของกลิ่นอับในเสื้อยืด ไม่ใช่แค่ “เหงื่อ”
หลายคนเข้าใจผิดว่ากลิ่นเหม็นอับมาจากเหงื่อเพียวๆ แต่จริงๆ แล้วมันคือผลผลิตจากแบคทีเรียและเชื้อรา ที่ฉลองปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนานบนเส้นใยผ้าของคุณต่างหาก
สาเหตุจากเหงื่อ
โดยเหงื่อของเรา ถือว่าเป็นอาหารชั้นดีของแบคทีเรีย บอกเลยว่าสิ่งที่คนไม่ค่อยรู้นั้นคือ เหงื่อที่ออกมาจากร่างกายของเรานั้น “ไม่มีกลิ่น” เพราะเหงื่อส่วนใหญ่ จะประกอบด้วยน้ำ เกลือ และยูเรีย ซึ่งไม่มีกลิ่นอะไรเลย แต่เหงื่อจากต่อม Apocrine ที่อยู่ใต้วงแขน และอวัยวะเพศ จะมีส่วนผสมของไขมันและโปรตีน ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่แบคทีเรียชอบ โดยเมื่อเหงื่อเหล่านี้ออกมาบนผิวหนังและซึมเข้าสู่เสื้อยืด แบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังและในสิ่งแวดล้อมก็จะเข้าย่อยสลายไขมันและโปรตีนในเหงื่อ ปล่อยสารประกอบที่มีกลิ่นออกมา ซึ่งนี่แหละคือ “กลิ่นตัว” และ “กลิ่นอับ” ที่เราได้กลิ่นนั่นเอง
สาเหตุจากความชื้น
เสื้อยืดที่เปียกชื้น ไม่ว่าจะจากเหงื่อจากการออกกำลังกาย จากการซักแล้วตากไม่แห้งสนิท หรือแม้แต่ความชื้นในตู้เสื้อผ้าที่อับทึบ คือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา ยิ่งอับ ยิ่งชื้น ยิ่งเติบโตได้ดี ซึ่งเชื้อรายังมีกลิ่นเฉพาะของมันอีกด้วย เนื่องจากเชื้อราไม่ได้แค่ทำให้เสื้อมีคราบดำๆ แต่พวกมันยังปล่อยสารที่มีกลิ่นอับชื้นเฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างจากกลิ่นแบคทีเรีย ทำให้เสื้อมีกลิ่น “เหม็นอับ” แบบขึ้นรานั่นแหละ
สาเหตุจากเส้นใยผ้า
ผ้าบางชนิดนั้นอมกลิ่น อย่างพวกผ้าใยธรรมชาติอย่างผ้าฝ้ายหรือคอตตอนนั้น จะมีโครงสร้างเส้นใยที่สามารถดูดซับความชื้นและ เก็บกักแบคทีเรียได้ดีกว่า ทำให้กลิ่นติดฝังแน่นได้ง่ายกว่า แถมพวกผ้าใยสังเคราะห์อย่าง โพลีเอสเตอร์ ที่แม้จะแห้งเร็วกว่า แต่ก็มีงานวิจัยบางชิ้นพบว่า โพลีเอสเตอร์สามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แบคทีเรียบางชนิดได้ดีกว่าคอตตอน โดยเฉพาะแบคทีเรียกลุ่ม Micrococcus ซึ่งเป็นตัวการหลักของกลิ่นตัวรุนแรง เพราะแบคทีเรียชอบยึดเกาะกับเส้นใยสังเคราะห์ และเหงื่อก็ไหลผ่านได้ดี ทำให้พวกมันเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่โพลีเอสเตอร์ก็ซักทำความสะอาดกลิ่นออกง่ายกว่าคอตตอนที่กลิ่นฝังลึก
วิธีแก้ไขปัญหากลิ่นอับในเสื้อยืด
หลังจากที่เราได้เข้าใจและรู้สาเหตุแล้ว การแก้ไขก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ
การซักทำความสะอาดที่ถูกต้อง
เราควรซักทันทีที่ถอด ไม่ใช่ผ้าปกตินะ แต่หมายถึงเสื้อที่เปียกเหงื่อแบบชุ่มๆ หรือเสื้อที่เปียกฝนทิ้งไว้ในตะกร้าผ้า เพราะยิ่งเราปล่อยมันทิ้งไว้นาน แบคทีเรียยิ่งเจริญเติบโต และกลิ่นก็ยิ่งฝังแน่น ซักทันทีที่ทำได้จะดีที่สุด และควรแยกผ้าขาว-ผ้าสี-ผ้าเหม็นอับ สำหรับผ้าสี แยกซักต่างหาก เพื่อป้องกันสีตกใส่ ส่วนผ้าขาว ให้แยกซักต่างหาก เพื่อป้องกันการหมองและเหลือง และผ้าที่มีกลิ่นอับมากๆ ควรแยกซักต่างหาก เพื่อไม่ให้กลิ่นไปติดผ้าอื่นๆ และสามารถใช้ตัวช่วยเฉพาะจุดได้เต็มที่
การใช้น้ำร้อนในการซัก
อย่าลืมใช้น้ำร้อนในการซัก สำหรับผ้าขาวและคอตตอน 100% เท่านั้น เพราะน้ำร้อน ประมาณ 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่เป็นต้นตอของกลิ่นอับได้ดีเยี่ยม และช่วยสลายไขมันในคราบเหงื่อ แต่ต้องระวังและใช้แค่กับผ้าคอตตอน 100% สีขาว หรือผ้าที่ทนความร้อนสูงเท่านั้น ห้ามใช้กับผ้าสี ผ้าใยสังเคราะห์ (โพลีเอสเตอร์) หรือผ้าบางชนิดเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผ้าหดตัว สีตก หรือเสียหายได้
การใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่เหมาะสม
ควรใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าที่มีเอนไซม์ เพราะเอนไซม์จะช่วยย่อยสลายคราบโปรตีนและไขมันที่อยู่ในเหงื่อ ทำให้แบคทีเรียไม่มีอาหาร และลดกลิ่นอับได้ดี รวมถึงน้ำยาซักผ้าที่มีส่วนผสมของสารฆ่าเชื้อและขจัดกลิ่น บอกเลยว่าในปัจจุบันมีน้ำยาซักผ้าหลายยี่ห้อที่ออกแบบมาเพื่อขจัดกลิ่นอับโดยเฉพาะ ลองเลือกใช้ดูตามความชอบได้เลย
ตัวช่วยเสริมเพิ่มเติม
หากต้องการเอาชัวร์เลย สามารถใช้น้ำส้มสายชูขาวได้ โดยให้เติมน้ำส้มสายชูขาวประมาณ ½ ถ้วยตวง ลงไปในช่องน้ำยาปรับผ้านุ่มในเครื่องซักผ้า (ไม่ต้องใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในรอบนั้น) หรือแช่เสื้อในน้ำผสมน้ำส้มสายชูก่อนซัก น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยฆ่าเชื้อและขจัดกลิ่นได้ดี ซึ่งกลิ่นน้ำส้มสายชูจะหายไปเองเมื่อผ้าแห้งสนิท ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เลย หรือจะใช้เบกกิ้งโซดา โดยโรยเบกกิ้งโซดาประมาณ ½ ถ้วยตวง ลงไปในถังซักพร้อมกับเสื้อผ้า ช่วยดูดซับกลิ่นและปรับสมดุลค่า pH ของน้ำ หรือหากมีกลิ่นอับที่แรงมากๆ ไม่ไหวแล้ว แนะนำให้ใช้ Borax เพียงเติม Borax ประมาณ ½ ถ้วยตวง ลงไปในเครื่องซักผ้าพร้อมผงซักฟอก (ควรศึกษาการใช้งานและข้อควรระวังก่อนใช้)
การตากผ้าที่เหมาะสม
ตากทันทีที่ซักเสร็จอันนี้สำคัญมาก อย่าปล่อยผ้าทิ้งไว้ในเครื่องซักผ้านานๆ เด็ดขาด เพราะความชื้นในเครื่องจะทำให้เชื้อราและแบคทีเรียเติบโตอย่างรวดเร็ว กลิ่นอับจะกลับมาอีกทันที ควรตากในที่โล่ง มีอากาศถ่ายเทดี เพราะอากาศถ่ายเทดีจะช่วยให้ผ้าแห้งเร็วที่สุด และป้องกันความอับชื้นที่นำไปสู่กลิ่นอับ ควรตากในที่ที่แสงแดดส่องถึงเล็กน้อย แต่ไม่จัดจ้านเกินไปสำหรับผ้าสี หากจำเป็นต้องตากผ้าในที่ร่ม หรือช่วงหน้าฝนที่ผ้าแห้งยาก ลองใช้ พัดลมเป่าช่วย หรือ เครื่องลดความชื้น (Dehumidifier) ในห้องที่ตากผ้า จะช่วยให้ผ้าแห้งเร็วขึ้นมาก และลดโอกาสการเกิดกลิ่นอับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดเก็บเสื้อผ้าให้ไม่มีกลิ่น
เก็บเมื่อแห้งสนิทเท่านั้น ห้ามเก็บเสื้อผ้าที่ยังชื้นแม้แต่น้อยเข้าตู้เสื้อผ้าเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดกลิ่นอับในเสื้อผ้า และยังลามไปติดเสื้อผ้าตัวอื่นๆ ในตู้ได้อีกด้วย ซึ่งตู้เสื้อผ้าของคุณก็ควรสะอาด ไม่อับชื้น ควรเปิดตู้ระบายอากาศเป็นประจำ สามารถใช้ตัวช่วยอย่าง ถุงดูดความชื้น ไปวางในตู้เสื้อผ้า หรือในลิ้นชักที่เก็บเสื้อยืด หรือจะใช้ ถ่านไม้ไผ่ มาห่อด้วยผ้าโปร่งๆ วางไว้ในตู้เสื้อผ้า ช่วยดูดซับกลิ่นอับได้ดี แต่ถ้าใครอยากประหยัดงบก็ให้วางสบู่ก้อนหอมๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้วไว้ในตู้ หรือในลิ้นชักเสื้อผ้า ช่วยให้เสื้อมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แต่ตรงนี้ก็ควรห่อด้วยผ้าหรือถุงเล็กๆ เพื่อไม่ให้สบู่สัมผัสกับผ้าโดยตรง
การจัดการกับปัญหากลิ่นอับในเสื้อยืดนั้นก็ไม่ได้ยากอะไรเท่าไหร่ เพียงแต่ต้องอาศัยความมีวินัยและความใส่ใจ เพราะอ่านจนถึงตรงนี้แล้วเราเชื่อว่าทุกคนน่าจะเข้าใจต้นตอและรู้วิธีแก้ไขที่ถูกต้อง ดังนั้นมาทำตามวิธีที่เราบอกเพื่อให้เสื้อยืดของเรากลับมาหอมสดชื่น ปราศจากกลิ่นอับชื้น หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์กัน เราจะได้มั่นใจทุกครั้งที่ใส่เสื้อผ้าออกไปทำงานหรือไปเที่ยว