เทคนิคการแต่งตัว แบบ Body Language เสื้อผ้าบอกอะไรเกี่ยวกับตัวคุณ
เคยไหมที่เจอใครบางคนครั้งแรก แล้วคุณก็รู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับเขาได้ทันที ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำนั่นคือ เทคนิคการแต่งตัว แบบ Body Language ที่ใช้เสื้อผ้าเป็นสื่อกลางบอกความหมาย อารมณ์ และลุค บุคลิก ความน่าเชื่อถือ ไปจนถึงสถานะทางสังคมได้เลย บอกเลยว่าเสื้อผ้าของคุณสามารถทำหน้าที่เป็นการแนะนำตัวที่สำคัญอย่างยิ่ง
การแต่งตัวนั้น นอกจากจะส่งผลต่อการรับรู้ของผู้คนที่มีต่อคุณแล้วนั้น ยังส่งผลต่อความรู้สึกภายในของคุณเองด้วย ถือว่าเป็นเรื่องของจิตวิทยาและศิลปะของการสื่อสาร ที่เราทุกคนควรทำความเข้าใจ เพื่อให้เราสามารถใช้ Body Language ของเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี สร้างความประทับใจ และเปิดโอกาสดีๆ ให้กับตัวเองในทุกสถานการณ์ มาดูกันว่าเสื้อผ้าของคุณกำลังบอกอะไร และคุณจะใช้พลังของการแต่งกายนี้ยังไงให้เกิดปังและถูกจุดประสงค์ที่สุด
เสื้อผ้าบ่งบอกอะไรหลายอย่าง
ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและการแข่งขัน ภาพลักษณ์ภายนอกกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญอย่างยิ่ง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเสื้อผ้าถึงทรงอิทธิพลกว่าที่คุณคิด บอกเลยว่าเสื้อผ้าที่เราสวมใส่สามารถสร้างความประทับใจแรก ที่จะเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที เนื่องจากเสื้อผ้าของคุณคือสิ่งแรกที่คนอื่นเห็นและประเมิน การแต่งกายที่เหมาะสมสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและความเคารพได้ทันที อีกทั้งยังช่วยสะท้อนบุคลิกภาพผู้ใส่ได้อีกด้วย ว่าคุณเป็นคนแบบไหน เป็นคนร่าเริง สบายๆ เป็นทางการ หรือชอบความท้าทาย สไตล์การแต่งตัวของคุณจะบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเอ่ยปากเลยล่ะ
ในบางบริบท เสื้อผ้าสามารถบ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือ ความเป็นมืออาชีพ หรือแม้แต่สถานะทางสังคมของคุณ ผู้คนมักจะเชื่อมโยงการแต่งกายที่เนี้ยบและมีสไตล์เข้ากับความสำเร็จ แล้วก็ยังช่วยหรือบ่งบอกถึงการแสดงออกถึงอารมณ์และทัศนคติ ว่าคุณกำลังรู้สึกกระตือรือร้น มีพลัง หรือต้องการความผ่อนคลาย สีสัน ลวดลาย หรือสไตล์ของเสื้อผ้าที่คุณเลือกใส่ สามารถบ่งบอกถึงอารมณ์และทัศนคติของคุณในวันนั้นๆ ได้ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็รายการ The Face Thailand เวลาเมนเทอร์ชนะ แล้วต้องตัดเด็กออกในห้องดำ พวกเขามักจะใส่ลุคที่มั่นใจ พร้อมฆ่า อย่างเช่น สีเข้มๆ อย่างสีดำ แดงเลือดหมู เป็นต้น
ถอดรหัส Body Language
ลองมาดูกันว่าสไตล์การแต่งตัวแต่ละแบบกำลังสื่อสารอะไรออกไป และสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการรับรู้ของคนรอบข้างยังไงบ้าง
แต่งตัวแบบเป็นทางการ Vs แต่งตัวแบบลำลอง
การแต่งตัวแบบเป็นทางการจะสื่อถึงความเป็น มืออาชีพ น่าเชื่อถือ จริงจัง และเคารพกาลเทศะ เหมาะสำหรับการติดต่อธุรกิจ การประชุมสำคัญ หรือการสัมภาษณ์งาน โดยมักจะเป็นชุดสูทเนี้ยบๆ หรือพวกเสื้อเชิ้ตและกระโปรงทรงสอบ บอกเลยว่าเรื่องของสีของสูทก็สำคัญนะ สีกรมท่าหรือสีเทาเข้มมักสื่อถึงความน่าเชื่อถือและความมั่นคง ส่วนการแต่งตัวแบบลำลองอย่างพวกเสื้อยืด กางเกงยีนส์ขาดๆ ชุดเดรสพริ้วๆ สบายๆ ก็จะสื่อถึงความ ผ่อนคลาย เข้าถึงง่าย ไม่ยึดติดกับพิธีการ เหมาะสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือการพบปะเพื่อนฝูง แต่หากนำไปใส่ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น การสัมภาษณ์งาน อาจถูกมองว่าไม่ใส่ใจหรือไม่เคารพได้
เรื่องของสีสันและลวดลาย
หากสวมใส่สีสันที่สีสดใส อย่างพวกสีแดง, ส้ม, เหลือง สื่อถึงความ กระตือรือร้น มีพลัง ความเป็นผู้นำ และความมั่นใจ ผู้สวมใส่ดูมีชีวิตชีวาและดึงดูดความสนใจได้ดี แต่หากใช้มากเกินไป อาจดูฉูดฉาด หากเลือกเป็นสีกลาง อย่างดำ, ขาว, เทา, กรมท่า จะสื่อถึงความ เรียบหรู คลาสสิก เป็นทางการ และน่าเชื่อถือ เป็นสีที่ปลอดภัยและสามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์ได้หลากหลาย สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้คือ สีขาวสื่อถึงความบริสุทธิ์ สะอาด ขณะที่สีดำสื่อถึงความแข็งแกร่ง ลึกลับ และความสง่างาม
หรือใครที่ชอบสายคิวท์ๆ แบบสีพาสเทล อย่างสีฟ้าอ่อน, ชมพูอ่อน, เขียวมิ้นต์ ก็จะสื่อถึงความ อ่อนโยน เป็นมิตร เข้าถึงง่าย และความสบายตา เหมาะสำหรับการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และใครที่ชอบใส่แบบมีลวดลาย ไม่ว่าจะเป็นลายทาง, ลายดอกไม้, ลายเรขาคณิต) ลวดลายที่เลือกใช้สามารถบ่งบอกถึงบุคลิกได้ เช่น ลายทางสื่อถึงความเนี้ยบ ลายดอกไม้สื่อถึงความอ่อนหวาน ลายเรขาคณิตสื่อถึงความทันสมัย
เนื้อผ้าและ Texture ของเสื้อผ้า
หากคุณเลือกใส่เนื้อผ้าแบบผ้าไหม ซาติน แคชเมียร์ มันสื่อถึงความ หรูหรา มีระดับ รสนิยมดี และความประณีต การเลือกผ้าที่มีคุณภาพดีสามารถยกระดับลุคให้ดูแพงขึ้นได้ทันที แต่ถ้าอยากได้ความสบายๆ เป็นธรรมชาติ เข้าถึงง่าย และความทนทาน แนะนำเป็นผ้าฝ้าย ลินิน ยีนส์ อย่างไรก็ตาม การเลือกเนื้อผ้าที่เหมาะสมกับอุณหภูมิและการดูแลรักษาที่แสดงถึงความใส่ใจ เช่น รีดเรียบ ไม่มีรอยยับ ก็บ่งบอกถึงความละเอียดรอบคอบของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี
เครื่องประดับและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
ไอเท็มเสริมอย่างที่ทุกคนพกหรือใส่เป็นปกติอย่างพวก นาฬิกา กระเป๋า รองเท้า สิ่งเหล่านี้คือตัวปิดจบของลุคที่ทรงพลังอย่างมาก อย่างพวกนาฬิกาหรูๆ กระเป๋าหนังดีๆ หรือรองเท้าที่ขัดเงาเรียบร้อย สามารถยกระดับลุคธรรมดาให้ดูแพงและน่าเชื่อถือขึ้นได้ ส่วนพวกเครื่องประดับอื่นๆ อย่างสร้อยคอ ต่างหู หรือเข็มขัด ก็สื่อถึงรสนิยมและความใส่ใจในรายละเอียด การเลือกเครื่องประดับที่เข้าชุดและไม่เยอะเกินไป จะช่วยเสริมบุคลิกและสไตล์ สุดท้ายพวกทรงผมและการแต่งหน้า ลุคจะเป๊ะปังมากขึ้น อย่างทรงผมที่จัดแต่งเรียบร้อย และการแต่งหน้าที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Body Language ของการแต่งตัวที่สำคัญไม่แพ้กัน
การแต่งกายโอเวอร์เกินไปหรือน้อยเกินไปจากบริบทของสถานการณ์ สามารถส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของคุณได้ทั้งคู่ เช่น การแต่งสูทเต็มยศไปงานปาร์ตี้ริมสระน้ำ อาจทำให้คุณดูแปลกแยก หรือการใส่กางเกงขาสั้นไปประชุมงานสำคัญ ก็อาจทำให้คุณดูไม่จริงจังและดูไม่เป็นมืออาชีพได้
เทคนิคการแต่งตัว แบบ Body Language เป็นการแต่งตัวคือหนึ่งในรูปแบบการสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูดก็สามารถสื่อสารออกมาได้ เมื่อคุณเข้าใจว่าเสื้อผ้าแต่ละชิ้นกำลังบอกอะไรเกี่ยวกับตัวคุณ และเรียนรู้ที่จะเลือกใช้มันให้เหมาะสมกับสถานการณ์ คุณก็จะสามารถสร้างความประทับใจที่ดีที่สุดให้กับผู้อื่น และเสริมความมั่นใจให้กับตัวเองได้