รู้จักกับ Carnival ประวัติของแบรนด์สตรีทที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน

รู้จักกับ Carnival ประวัติของแบรนด์สตรีทที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน

ถ้าพูดถึงแบรนด์เสื้อผ้าสตรีทในไทยคงไม่พูดถึง Carnival ไปไม่ได้เลย เพราะเขาคืออีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่มานานมากในวงการสตรีทไทย และเป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้คนไทยได้สัมผัสกับสินค้าแนวสตรีทแวร์จากต่างประเทศ

ซึ่งถ้าใครกำลังสนใจอยากสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง อยากมีเสื้อผ้าคอลเลคชั่นที่ตัวเองออกแบบ วันนี้เรามารู้จักกับแบรนด์นี้กันมากขึ้นดีกว่าครับ

 

Carnival จุดเริ่มต้นจากร้านขายเสื้อผ้า

ในตอนแรกนั้น Carnival เป็นร้านขายเสื้อผ้าแนวสตรีทแวร์ในสยามสแควร์ ก่อตั้งโดยคุณ ปิ๊น-อนุพงศ์ คุตติกุล ตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งในตอนนั้นต่างประเทศก็เริ่มมีการเล่นรองเท้า เล่นเสื้อผ้าแนวสตรีทแวร์ หรือที่ในตอนนั้นเรียกว่า hypebeast กันแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ช่วงนั้นในประเทศไทยก็ไม่ได้รับความนิยมอะไรมาก ด้วยอินเตอร์เน็ตที่พึ่งเข้าถึง ราคาที่สูง และหาซื้อได้ยาก ทำให้เสื้อผ้าแนวสตรีทแวร์จึงจำกัดอยู่แค่ในต่างประเทศ

คุณปิ๊นเติบโตในครอบครัวที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับรองเท้า โดยคุณปู่ของเขามีโรงงานผลิตรองเท้า Converse และคุณปิ๊นได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำธุรกิจในวงการรองเท้ามาตั้งแต่เด็ก แม้ในวัยเด็กคุณปิ๊นจะไม่ได้สนใจในธุรกิจรองเท้าของครอบครัวมากนัก แต่เมื่อโตขึ้นและได้ไปเรียนต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ เขาได้สัมผัสกับวัฒนธรรมการซื้อรองเท้าและแฟชั่น ซึ่งทำให้เขาเริ่มหลงใหลในสนีกเกอร์อย่างจริงจัง จึงเริ่มต้นสะสมรองเท้าสนีกเกอร์ตั้งแต่วัยเรียน

หลังจากกลับจากต่างประเทศ คุณปิ๊นจึงเริ่มมองเห็นช่องว่างในตลาดสนีกเกอร์ในประเทศไทย โดยเฉพาะในย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางแฟชั่นสำหรับวัยรุ่นไทย แต่กลับไม่มีร้านที่จำหน่ายรองเท้า Converse รุ่นหายาก คุณปิ๊นจึงตัดสินใจเปิดร้าน Carnival ขึ้นมาโดยเริ่มต้นจากร้านเล็กๆ ที่จำหน่ายรองเท้ารุ่นพิเศษๆ ที่หายาก ซึ่งเขาได้เดินทางไปหิ้วจากต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น การที่ร้านมีรองเท้ารุ่นพิเศษเหล่านี้ทำให้ลูกค้าตื่นเต้นและติดตาม Carnival ตลอด ช่วงนั้นไม่ว่าเอาอะไรมาขายก็แทบจะหมดสต็อกทันที

เขาเน้นเฉพาะตัวที่ลิมิเต็ด หาซื้อยาก และมีดีไซน์ที่โดดเด่น ดังนั้นถ้าจะบอกว่า Carnival เป็นร้านที่บุกเบิกให้คนไทยได้รู้จักกับสนีกเกอร์ยอดฮิตมากมายก็คงไม่ผิดนัก

 

สู่แบรนด์สตรีทชั้นนำในไทย

หลังจากประสบความสำเร็จในการขายรองเท้าหายาก คุณปิ๊นมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปสู่สินค้าอื่นๆ นอกเหนือจากรองเท้า โดยเริ่มผลิตเสื้อผ้าและแอคเซสเซอรี เช่น เสื้อยืด หมวก และกระเป๋า ทั้งหมดเป็นสินค้าที่มีความพิเศษและผลิตจำนวนจำกัด (Limited Edition) การออกแบบสินค้าให้มีดีไซน์ที่โดดเด่นและไม่ซ้ำใคร ทำให้ Carnival กลายเป็นแบรนด์ที่โดดเด่นในวงการสตรีทแวร์ ไม่เพียงแค่ในประเทศไทยแต่ยังเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

 

หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ Carnival เติบโตได้อย่างต่อเนื่องคือการ คอลลาบอเรชัน (collaboration) กับแบรนด์ใหญ่ระดับโลก คุณปิ๊นเล่าว่าเขาตั้งใจที่จะทำให้แบรนด์เติบโตโดยการทำงานร่วมกับแบรนด์อื่นๆ โดยเฉพาะการคอลลาบอเรชันกับแบรนด์รองเท้าอย่าง Nike, Adidas, และ Reebok ความท้าทายในการทำงานร่วมกับแบรนด์ใหญ่ๆ เหล่านี้คือการต้องสร้างโปรไฟล์ที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในวงการ ซึ่งคุณปิ๊นและทีมงาน Carnival ทำได้โดยการสร้างชุมชนของแฟนคลับที่รักในแบรนด์และสนับสนุนสินค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การปั้นแบรนด์โดยเน้นขายของอย่างเดียว แต่เน้นความใกล้ชิดกับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันธ์กับแบรนด์มาก ๆ

หนึ่งในคอลลาบอเรชันที่น่าจดจำคือการร่วมงานกับ KFC ที่คุณปิ๊นได้ทำโปรเจกต์พิเศษ โดยการเปลี่ยนร้าน Carnival ให้กลายเป็นร้าน KFC ซึ่งโปรเจกต์นี้สร้างความตื่นเต้นและกระแสความฮือฮาในตลาด นอกจากนี้ การทำคอลลาบอเรชันกับ Honda Monkey โดยการผลิตรถมอเตอร์ไซค์รุ่นพิเศษของ Carnival ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้แบรนด์ Carnival ขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน ความสามารถในการขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ และสร้างความแปลกใหม่ให้กับแบรนด์เป็นสิ่งที่ทำให้ Carnival ยังคงมีชื่อเสียงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

แตกต่าง เอกลักษณ์ และเป็นที่น่าจดจำ

คุณปิ๊นเชื่อว่าการสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพียงแค่การขายสินค้า แต่ยังต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า การที่ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์และเป็นชุมชนเดียวกันทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เขาให้ความสำคัญกับการสร้าง ชุมชนของแฟนคลับ ที่ติดตามแบรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยเขาไม่เพียงแค่ทำสินค้าออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด แต่ยังทำสินค้าเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นและมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่แบรนด์สร้างสรรค์

การทำสินค้าในรูปแบบ Limited Edition ยังเป็นวิธีการสำคัญที่ทำให้ Carnival สามารถสร้างความต้องการในตลาดได้ โดยสินค้าที่มีจำนวนจำกัดทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาได้รับสิ่งที่พิเศษและไม่เหมือนใคร การทำสินค้าจำกัดจำนวนยังสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าติดตามสินค้าใหม่ๆ ของ Carnival อยู่เสมอ นอกจากนี้ การทำสินค้าที่เป็นของแบรนด์เอง เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า และหมวก ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้รองเท้าจากแบรนด์อื่นๆ เลย

 

แนวคิดสุดเจ๋งในการทำธุรกิจที่ทำให้ Carnival ไม่เหมือนใคร

หนึ่งในแนวคิดที่คุณปิ๊นยึดถือในการทำธุรกิจคือ การทำงานด้วยความสนุก และความรักในสิ่งที่ทำ คุณปิ๊นเล่าว่าเขาไม่เคยเน้นการทำกำไรเป็นหลักในการสร้างแบรนด์ แต่เน้นการสร้างประสบการณ์ที่สนุกและน่าตื่นเต้นให้กับลูกค้า โดยเขามองว่าการทำธุรกิจที่ดีต้องมาจากการที่เขารู้สึกสนุกและมีความหลงใหลในสิ่งที่ทำ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องช่วยให้แบรนด์ Carnival สามารถรักษาความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้าได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ คุณปิ๊นยังเน้นว่า การสร้างแบรนด์ที่มีความยั่งยืน ต้องมาจากการที่แบรนด์สามารถยืนด้วยตัวเองได้ การทำคอลลาบอเรชันกับแบรนด์อื่นๆ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเติบโตของ Carnival แต่สิ่งที่สำคัญคือการทำให้สินค้าใน Main Collection ของแบรนด์ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน การที่แบรนด์สามารถขายสินค้าที่ไม่ได้ทำคอลลาบอเรชันและยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในระยะยาว

 

ถอดบทเรียน 10 ข้อคิดที่สามารถนำมาปรับใช้กับแบรนด์ของเราได้

เริ่มจากสิ่งที่รักและถนัด 

รู้ไหมว่าการทำธุรกิจที่เราชอบมันสนุกแค่ไหน? ลองนึกดูสิว่าเรารักอะไร เก่งอะไร แล้วเอามาทำเป็นแบรนด์เสื้อผ้า มันจะทำให้เรามีแรงฮึดสู้ไปได้แบบไม่เหนื่อย

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราชอบสไตล์มินิมอล ชอบอะไรเรียบๆ แต่ดูดี เราก็อาจจะเริ่มทำแบรนด์เสื้อผ้าที่เน้นความเรียบง่าย แต่มีดีเทลเก๋ๆ ซ่อนอยู่ แบบนี้มันจะทำให้เรารู้สึกสนุกทุกครั้งที่ออกแบบ เพราะมันคือสิ่งที่ออกมาจากเรา 100%

 

สร้างจุดขายที่แตกต่าง

นี่แหละสำคัญ ต้องมีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วนึกถึงแบรนด์เราเลย อาจจะเป็นดีไซน์แปลกๆ วัสดุพิเศษ หรือแม้แต่วิธีการสื่อสารกับลูกค้า

สมมติว่าเราทำเสื้อที่ปรับเปลี่ยนได้หลายแบบในตัวเดียว วันนี้ใส่เป็นเสื้อยืด พรุ่งนี้พลิกนิดหน่อยกลายเป็นเสื้อเชิ้ต ก็น่าสนใจ หรือจะใช้ผ้าที่ทำจากขวดพลาสติกรีไซเคิล ทั้งเก๋ทั้งช่วยโลกอีกต่างหาก เป็นสตอรี่ที่ทำให้แบรนด์น่าซื้อ น่าจับจองสุด ๆ

 

เริ่มต้นด้วยการทำสินค้าแบบ Limited Edition 

จริง ๆ คนชอบของหายากมากเลยนะ ลองทำเสื้อออกมาแค่ 100 ตัว แล้วบอกว่า “มีแค่นี้แหละ หมดแล้วหมดเลย!” รับรองว่าจะต้องขายดีกว่าที่คิดแน่นอน

 

คอลแลบกับแบรนด์หรือบุคคลอื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า 

นี่เป็นวิธีเจ๋งๆ ที่จะทำให้แบรนด์เราดังเร็วขึ้น ลองหาใครสักคนที่เก่งๆ หรือมีชื่อเสียงมาร่วมงานด้วย

เช่น ชวนศิลปินที่วาดรูปสวยๆ มาออกแบบลายเสื้อให้สักคอลเลคชั่น หรือจับมือกับดีไซเนอร์ดังๆ ทำกระเป๋าผ้าลิมิเต็ด มันจะทำให้คนสนใจแบรนด์เรามากขึ้น แถมยังได้เรียนรู้จากคนเก่งๆ ด้วย

 

สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า 

เรื่องนี้สำคัญมากๆ เลยนะ ต้องทำให้คนที่ซื้อของเรารู้สึกประทับใจตั้งแต่เข้าเว็บไซต์ยันได้รับสินค้า

ยกตัวอย่างเช่น ทำเว็บไซต์ให้สวย ใช้ง่าย มีรายละเอียดสินค้าครบๆ ตอบแชทลูกค้าไวๆ ส่งของเร็ว แพ็คเกจสวย มีการ์ดขอบคุณแนบไปด้วย หรือแม้แต่การจัดอีเวนท์สนุกๆ ให้ลูกค้ามาร่วม แค่นี้ลูกค้าก็จะประทับใจและอยากกลับมาซื้อซ้ำแล้ว

 

ขยายผลิตภัณฑ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป

อย่าเพิ่งรีบทำทุกอย่างนะ เริ่มจากอย่างที่เราถนัดที่สุดก่อน ทำให้ดีๆ พอมั่นใจแล้วค่อยๆ ขยายไป

สมมติว่าเราเริ่มจากเสื้อยืด พอขายดี คนชอบ เราก็ค่อยเพิ่มกางเกง แล้วก็หมวก กระเป๋า ไปเรื่อยๆ แบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้เราเรียนรู้ไปทีละขั้น

 

สร้างชุมชนลูกค้าที่แข็งแกร่ง 

นี่เป็นเคล็ดลับสำคัญเลย! ต้องสร้างแก๊งค์แฟนคลับของเราให้ได้ ลองทำกลุ่มในเฟซบุ๊กหรือไอจีให้ลูกค้ามาแชร์รูป มาคุยกัน ให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์เรา

เช่น จัดประกวดภาพถ่ายสวยๆ ที่ใส่เสื้อของเรา หรือให้แฟนคลับโหวตว่าอยากให้คอลเลคชั่นหน้าเป็นแนวไหน แบบนี้เขาจะรู้สึกว่าเป็นเจ้าของแบรนด์ไปด้วยเลย

 

ปรับตัวและเรียนรู้จากตลาด 

โลกมันเปลี่ยนเร็ว เราก็ต้องปรับตัวให้ทัน ต้องคอยดูว่าตลาดเป็นยังไง คนชอบอะไร แล้วปรับตาม แต่ก็อย่าทิ้งตัวตนของแบรนด์เรานะ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเห็นว่าคนเริ่มสนใจเรื่องรักษ์โลกกันใหญ่ เราก็อาจจะลองหันมาใช้ผ้ารีไซเคิล หรือทำแคมเปญบริจาครายได้ส่วนหนึ่งเพื่อปลูกป่า อะไรแบบนี้

 

เน้นคุณภาพมากกว่ากำไรในช่วงแรก 

ช่วงแรกๆ อย่าเพิ่งคิดแต่จะเอากำไรเยอะๆ นะ เน้นทำของดีๆ ออกมาก่อน ให้คนติดใจในคุณภาพ

ถ้าเราใช้ผ้าคุณภาพดีหน่อย อาจจะต้นทุนสูงขึ้น กำไรน้อยลง แต่พอลูกค้าได้ลองใส่แล้วรู้สึกว่า “โอ้โห นุ่มจัง ใส่สบายจัง” เขาก็จะกลับมาซื้อซ้ำแน่นอน แถมยังบอกต่อให้เพื่อนๆ มาซื้อด้วย

 

เรียนรู้จากความล้มเหลวและปรับปรุงตลอดเวลา 

สุดท้ายนี้ อย่าท้อถ้าไม่เวิร์คนะ ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิดหรอก ล้มบ้างก็ไม่เป็นไร แค่ลุกขึ้นมาแล้วเรียนรู้ ทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป

เช่น ถ้าคอลเลคชั่นนี้ขายไม่ดี ก็ลองวิเคราะห์ดูว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะดีไซน์ไม่โดน หรือราคาแพงไป หรือโฆษณาน้อยไป พอรู้สาเหตุแล้ว ก็เอามาปรับปรุงในคอลเลคชั่นหน้า รับรองว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *