ประวัติ H&M จุดแข็งของแบรนด์เสื้อผ้า “แฟชั่น” ที่เข้าถึงง่าย

แบรนด์ H&M แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นที่เข้าง่าย ใส่ได้สำหรับทุกคน

ประวัติ H&M จุดแข็งของแบรนด์เสื้อผ้า “แฟชั่น” ที่เข้าถึงง่าย

วันนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จัก ประวัติ H&M พร้อมพาวิเคราะห์กัน เพราะ H&M เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีความเป็นแนว “แฟชั่น” ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสไตล์ที่ตอบโจทย์วัยทำงานอย่างมาก เพราะชุด Outfit ต่างๆ ล้วนมีความกึ่งทางการที่สามารถใส่ไปทำงาน ไปพบปะลูกค้า รวมถึงไปเที่ยวสังสรรค์ได้ ฟังดูเหมือนแบรนด์นี้จะสามารถเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันเราได้เลยจริงไหมครับทุกคน นั่นจะเป็นสาเหตุที่ผมจะพาคุณรู้จักแบรนด์นี้กัน

 

ประวัติความเป็นมา

H&M หรือชื่อเต็มอย่าง Hennes & Mauritz เป็นแบรนด์แฟชั่นสัญชาติสวีเดน ก่อตั้งขึ้นในปี 1947 โดยตอนแรกได้เริ่มจากร้านขายเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงโดยใช้ชื่อว่า Hennes แต่ต่อมาได้ขยายธุรกิจไปสู่การขายเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายและเด็กด้วย จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Hennes & Mauritz ทำให้เกิดตัวย่อจนคนพูดชื่อติดปากกันว่า H&M ในเวลาต่อมา


จุดแข็งของแบรนด์

จุดแข็งของแบรนด์ Hennes & Mauritz มีอะไรบ้าง จากที่แอดรู้จักแบรนด์ H&M ได้ลองวิเคราะห์เลยแบ่งออกมาเป็น 4 อย่างที่จัดว่าเป็นจุดแข็งและน่าสนใจ

แฟชั่นที่เข้าถึงได้ : แบรนด์จะเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ และแต่ละชุดก็จะมีความเป็นแฟชั่นสูง ไม่ได้เรียบๆ หรือจืดจนเกินไป

คอลเลกชั่นที่หลากหลาย : มีคอลเลกชั่นเสื้อผ้าที่หลากหลาย ทั้งแบบ Basic ทั่วๆ ไป, แบบ Trendy มีความนำเทรนด์ และ แบบที่คอลแลป Collaboration กับดีไซเนอร์ชื่อดัง

ความรวดเร็วในการออกแบบ : ต้องยอมรับว่า H&M สามารถนำเทรนด์แฟชั่นล่าสุดมาผลิตและวางจำหน่ายได้อย่างรวดเร็วและทันกระแสอยู่เสมอ

จุดยืนของแบรนด์ : ตัวแบรนด์ให้ความสำคัญกับจุดยืนของตนอยู่ไม่น้อย โดยมีโครงการที่น่าสนใจ 3 อย่าง

         – การนำเสื้อผ้าเก่ามารีไซเคิลอย่าง “โครงการ Looop” ซึ่งเป็นระบบรีไซเคิลเสื้อผ้าแบบวงจรปิด ที่ลูกค้าของ H&M สามารถนำเสื้อผ้าเก่าที่ไม่ต้องการมาแลกเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ได้ โดยทางแบรนด์จะมีเครื่องจักรที่ทำการแยกเส้นใยของเสื้อผ้าเก่า และนำไปผลิตเป็นเสื้อผ้าชิ้นใหม่ได้ทันที 

         – การใช้เส้นใยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้เส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้ายอินทรีย์ ลินิน และผ้าขนสัตว์ ที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีอันตราย เสื้อของทางแบรนด์ได้พัฒนามาจากเส้นใยที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เพื่อลดปริมาณขยะที่ฝังกลบ

         – การรับบริการเสื้อผ้าจากทุกแบรนด์ และมอบส่วนลดเป็นการตอบแทนในการซื้อครั้งต่อไป เสื้อผ้าที่รับบริจาคมานั้นทาง H&M ก็นำไปผลิตใหม่ recycle จนไปถึงนำรายได้บางส่วนไปบริจาคผ่านทาง H&M Foundation


ความสำเร็จของแบรนด์

ความสำเร็จแบรนด์จะมีอะไรบ้าง เพราะแบรนด์ขึ้นชื่อเรื่องแฟชั่นอย่าง Hennes & Mauritz ก็เป็นที่รู้จักกันดีอย่างแพร่หลาย

มีสาขาทั่วโลก : H&M มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นทั้งโซนเอเชีย โซนยุโรป ในส่วนของไทยก็มีถึง 34 สาขากันเลยทีเดียว ส่วนตัวคิดว่าเป็นจำนวนที่เยอะอยู่เหมือนกัน เพราะช้อปของ H&M ก็มีขนาดที่ใหญ่เนื่องจากสินค้าเยอะ การที่มีช้อปเยอะขนาดนี้
ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง : แบรนด์มียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของแบรนด์และความนำเทรนด์ ทันสมัย

เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์แฟชั่น Fast Fashion : ก็ต้องยอมรับว่า H&M เป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่น Fast Fashion ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก โดยทางแบรนด์ได้คอลแลปกับศิลปินดังมากมาย คอลเลคชั่นที่โดดเด่นและได้รับการพูดถึงจะมีอยู่ทั้งหมด 5 คอลเลคชั่นด้วยกัน

     – H&M x Moschino (คอลเลคชั่นดังกระหน่ำที่สุด)

     – H&M x Erdem

     – H&M x Giambattista Valli

     – H&M x Alexander Wang

     – H&M x Kenzo


ยอดขายปัจจุบันและจำนวนสาขา

ยอดขายและจำนวนของสาขา เป็นอะไรที่บ่งบอกถึงความสำเร็จของแบรนด์อย่างชัดเจน

ยอดขาย : ราคาหุ้นของ H&M ร่วงลง 12% (มูลค่า 113,000 ล้านบาท) ทำให้ CEO ของ H&M ประกาศลาออก หลังยอดขายและกำไรลดลง กลุ่มบริษัท H&M ได้เปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีราว 30,000 ล้านบาท ในช่วงต้นปี 2023 ถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2023 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถบอกยอดขายได้ แต่ทาง H&M คาดว่าจะรีบปรับโครงสร้างต่างๆ ให้ยอดขายกลับมาดีขึ้น (ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2567)

จำนวนสาขา : H&M มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก 3,832 สาขาด้วยกัน (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2567) โดยสาขาที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ Fifth Avenue ใน New york มีพื้นที่กว่า 57,000 ตารางฟุต


สินค้ายอดนิยม

นอกจากเสื้อผ้าแล้ว แบรนด์ Hennes & Mauritz ก็ยังมีผลิตภัณฑ์อย่างอื่นอีก โดยเราจะมาดูกันว่าสินค้ายอดนิยมที่น่าสนใจของทางแบรนด์นี้จะมีอะไรบ้าง

 

     – เสื้อผ้าเบสิก Basic : เสื้อผ้าเบสิกที่ขายดีก็จะมี เสื้อยืด กางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ต ที่เป็นสินค้าที่ขายดีตลอดกาล

     – คอลเลกชั่นพิเศษ : สำหรับคอลเลกชั่นพิเศษก็จะเป็นคอลเลกชั่นที่ร่วมกับดีไซเนอร์ชื่อดัง หรือคอลเลกชั่นตามฤดูกาลต่างๆ มักได้รับความนิยมอย่างมาก

     – ชุดชั้นใน : ชุดชั้นในของ H&M มีทั้งแบบ Basic และแบบแฟชั่น เป็นตัวเลือกให้ทั้งชายและหญิง

     – เครื่องประดับ : ในส่วนของเครื่องประดับ ก็มีเครื่องประดับให้เลือกหลากหลาย ทั้งสร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู


ของที่ขายปัจจุบัน

H&M นั้นมีชื่อเสียงในเรื่องของเสื้อผ้าแฟชั่นที่ทันสมัย มีสไตล์ และราคาจับต้องได้ ทำให้เป็นที่นิยมของผู้คนทั่วโลก ดังนั้นในส่วนของสินค้าที่ขายอยู่ ณ ปัจจุบันก็นั้นครอบคลุมทุกเพศทุกวัย และมีหลากหลายสไตล์ให้เลือกสรร ดังต่อไปนี้

     – เสื้อผ้าเบสิก: เสื้อยืด, กางเกงยีนส์, เสื้อเชิ้ต เป็นไอเท็มพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี H&M มีให้เลือกหลากหลายสี หลากหลายแบบ

     – เสื้อผ้าแฟชั่น: เสื้อผ้าที่มีดีไซน์ทันสมัยตามเทรนด์ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นเดรส, กางเกงขาบาน, เสื้อครอป

     – เสื้อผ้าสำหรับโอกาสพิเศษ: ชุดราตรี, ชุดทำงาน, ชุดออกงานต่างๆ

     – ชุดชั้นใน: ทั้งชุดชั้นในผู้หญิงและผู้ชาย

     – ชุดนอน: ชุดนอนที่ใส่สบาย เหมาะสำหรับพักผ่อน

     – คอลเลกชั่นร่วมกับดีไซเนอร์ (คอลเลกชั่นพิเศษ) : H&M มักจะมีคอลเลกชั่นร่วมกับดีไซเนอร์ชื่อดัง ทำให้ได้เสื้อผ้าที่มีดีไซน์โดดเด่นและไม่ซ้ำใคร

     – คอลเลกชั่นตามฤดูกาล (คอลเลกชั่นพิเศษ) : H&M จะออกคอลเลกชั่นใหม่ตามฤดูกาลต่างๆ เช่น ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว

     – คอลเลกชั่นสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (คอลเลกชั่นพิเศษ) : เช่น H&M Divided สำหรับวัยรุ่น, H&M Home สำหรับของตกแต่งบ้าน

     – รองเท้า : รองเท้าผ้าใบ รองเท้าส้นสูง รองเท้าแตะ

     – กระเป๋า : กระเป๋าสะพายข้าง กระเป๋าถือ กระเป๋าเป้

     – เครื่องประดับ : สร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู

     – เครื่องสำอาง : เครื่องสำอางในราคาที่จับต้องได้


ข้อผิดพลาดของ H&M

H&M มีข้อผิดพลาดสำคัญอยู่ 2 อย่างที่เราอยากจะเล่าให้ฟังเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นผลดีต่อคนที่คิดจะสร้างแบรนด์ของตัวเองในอนาคต เดี๋ยวจะสรุปประเด็นให้ด้วยนะว่าเราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้

 

เหตุการณ์แรก COOLEST MONKEY IN THE JUNGLE โดย H&M ทำโฆษณาเสื้อเด็กที่มีคำว่า “COOLEST MONKEY IN THE JUNGLE” หรือแปลเป็นไทยประมาณว่า “ลิงเจ๋งที่สุดในป่า” โดยให้เด็กผิวสีใส่ เสื้อตัวนี้ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นการเหยียดผิว เพราะการเปรียบเทียบคนกับลิงเป็นการดูถูก เรื่องนี้ใหญ่มากถึงกับมีการออกมาประท้วง H&M ต้องออกมาขอโทษและถึงขั้นถอดเสื้อตัวดังกล่าวออกจากหน้าร้านทั้งหมด จากเหตุการณ์นี้หากจะเป็นเจ้าของแบรนด์ตัวเองในอนาคต อาจต้องระวังเรื่องออกแบบและการคัดเลือกนายแบบนางมาให้สอดคล้องกันทุกครั้ง พร้อมคิดในมุมมองลูกค้าหลายๆมุมก่อนจะวางขายเสมอ

 

เหตุการณ์ที่สอง การเข้าตลาดออนไลน์ช้า ในปี 2017 H&M กำไรลดลงถึง 34% เนื่องจากการปรับตัวช้าไม่ยอมเข้ามาเล่นตลอดออนไลน์ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ H&M ต้องผิด 170 สาขา และหันมาเล่นในตลาดออนไลน์มากขึ้น นั่นแปลว่าสำหรับคนที่อยากจะมีแบรนด์เป็นของตัวเองต้องวางแผนการเข้าตลาดออนไลน์มาเป็นอย่างดีด้วยก่อนจะเปิดตัวแบรนด์ ไม่สามารถพึ่งหน้าร้านได้อย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว


ข้อสรุปและสิ่งน่าสนใจ

H&M ไม่มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ข้อดีของการทำแบบนี้ คือ การที่ H&M ไม่ต้องลงทุนสูงเพื่อก่อตั้งโรงงาน มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนที่ไว ซึงโลกงานเราก็ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ในไทยหลายๆตัว หากต้องการทำแบบ H&M ก็สามารถเข้ามาสอบถามเพิ่มเติมกับทางเราได้

แม้แต่แบรนด์ที่ใหญ่ระดับโลกยังมีขาดทุน มีล้มลุกคลุกคลานให้เห็นกันได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะพลิกตัวกลับไปยิ่งใหญ่แบบเดิมไม่ได้ แน่นอนว่าการทำธุรกิจไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ล้วนต้องอาศัยความพยายามและพัฒนาตลอดเวลา ซึ่งทาง ธน พลัส 153 ก็ผลิตเสื้อหลายประเภท เนื้อผ้ามากมาย รวมถึงเสื้อโอเวอร์ไซส์ด้วย หากคุณสนใจจะตีตลาดโดยมี H&M เป็นแบบอย่าง ทางเราก็มีเซลล์และแอดมินมากประสบการณ์พร้อมให้คำแนะนำดูแลตลอดทุกขั้นตอน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *